- Details
- Category: บีโอไอ
- Published: Wednesday, 10 May 2017 17:33
- Hits: 7233
BOI เผย 3 ปี รัฐบาล`ประยุทธ` เกิดการลงทุนไปแล้ว 1.7 ล้านลบ. มั่นใจอีก 1-3 ปี เอกชนจะลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลบ.
บีโอไอ เผย 3 ปี รัฐบาล"ประยุทธ เกิดการลงทุนจริงไปแล้ว 1.7 ล้านลบ. ชี้ปี 57 ลงทุนมากสุด 6 แสนลบ. ปลื้มไตรมาสแรกปีนี้เอกชนลงทุนจริง 5.7 แสนลบ. มั่นใจภายใน 1-3 ปี ลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลบ. ชี้การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 3 เดือนปีนี้ มี 293 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 61,980 ลบ. เป็นโครงการลงทุนใหม่ 182 โครงการเงินลงทุนรวม 42,452 ลบ. หรือ 68% ของเงินลงทุนทั้งหมด เผยเดือนนี้ -ก.ย. จะเร่งนำคณะนักธุรกิจเยี่ยมชมและชักชวนลงทุน อีอีซี
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ ) เปิดเผยว่า จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลที่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อคการลงทุน เน้นอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนมากขึ้น ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ ทำให้เกิดการลงทุนจริงในปี 2557 มีมูลค่า 6 แสนล้านบาท ปี 2558 มูลค่า 5 แสนล้านบาท และปี 2559 มูลค่า 4.9 แสนล้านบาท รวมกับมูลค่าลงทุนจากไตรมาส 1 ปีนี้อีก 8 หมื่นล้านบาท ทำให้มียอดการลงทุนจริงรวม 3 ปี สูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท
สำหรับ ภาพรวมการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 3 เดือนปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น รองลงมาคือ ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งเป็นโครงการลงทุนใหม่ 182 โครงการ และเป็นโครงการขยายจากกิจการเดิม 111 โครงการ ขณะเดียวกันร้อยละ 55 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนเป็นกิจการที่อยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
เลขาฯบีโอไอ กล่าวอีกว่า ตัวเลขเงินลงทุนในแต่ละปีอาจมีมากหรือน้อยกว่ากันได้ แต่ขอให้ดูการลงทุนที่จะส่งผลดีในระยะยาวต่อประเทศ เช่น การลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ขยายกิจการสู่การผลิตยางล้ออากาศยานของบริษัทบริดสโตน ที่ส่งผลให้เกิดการใช้ผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยางพารา ปาล์มน้ำมัน
ส่วน การลงทุนในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ของปีนี้เกิดการลงทุนจริงแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.7 แสนล้านบาท จากทั้งโครงการลงทุนในกิจการของคนไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย จึงคาดว่าภายใน 3 ปี (2560-62) นับจากนี้จะมีการลงทุนจริงอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท
โดยในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนทั้งกิจการของคนไทย และจากต่างประเทศ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนไทย เช่น บริษัทกรุงเทพ สเต็มเซลล์ วิจัยและพัฒนา จำกัด ทำการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง บริษัทไทยยานยนต์ไฟฟ้า จำกัด ทำการวิจัยพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า บริษัท อินทรีดิจิตอล จำกัด บริษัทของคนไทยที่พัฒนาซอฟแวร์ขนาดใหญ่สำหรับบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ เป็นต้น
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทใหม่ๆ จากต่างประเทศ ที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ บริษัท อีเลฟเว่น สตรีท ของเกาหลีใต้ เข้ามาลงทุนกิจการซอฟต์แวร์และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท SK Group บริษัทชั้นนำใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเกาหลีใต้ ที่มีบริษัทในเครือในหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน เคมีภัณฑ์ ไอที และธุรกิจบริการ และการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการลงทุนในไทยครั้งแรกของบริษัท
สำหรับ บริษัทชั้นนำรายเดิมที่มีการลงทุนอยู่แล้ว และได้ขยายการลงทุนเพิ่มในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เกือบทุกค่าย ขณะเดียวกันก็มีบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกทุกรายได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว และขยายการลงทุนเพิ่ม เช่น บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ขยายกิจการผลิตยางเรเดียลสำหรับยานพาหนะ บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ขยายกิจการผลิตยางเรเดียล และบางรายได้ขยายไปสู่การผลิตยางล้ออากาศยาน เช่น บริษัท บริดจสโตน สเปเชียลตี้ไทร์ แมนูแฟค เจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ขยายกิจการผลิตยางล้ออากาศยาน บริษัทกู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขยายกิจการผลิตยางล้ออากาศยาน ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำของโลกอย่าง บริษัท โรเบิร์ตบ๊อช ออโตโมทีฟเทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้ลงทุนในไทยมายาวนาน ก็ได้ขยายการลงทุนไปสู่กิจการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีการพัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์ของไทย เป็นต้น
หรือในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทมินิแบ นอกจากขยายการลงทุนผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยังขยายการลงทุนไปสู่การผลิตชิ้นส่วนอากาศยานด้วย และบริษัท โซนี่ ได้ขยายการลงทุนไปผลิตสมาร์ทโฟนและชิ้นส่วนด้วยเช่นกัน
ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี บริษัท ชิน-เอทสุ ซิลิโคนส์ ผู้ผลิตซิลิโคนส์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น มีการขยายการลงทุนครั้งที่ 3 ของบริษัท และทำให้ประเทศไทยเป็นการขยายฐานที่ใหญ่กว่าในประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำการผลิตพอลิเมอร์ชนิดพิเศษ บริษัท เอ็กซ์พาลแกน ผู้ผลิตกรดแลคติก ได้ต่อยอดไปสู่การผลิตพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ในประเทศไทย เป็นต้น
นางหิรัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมของการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 3 เดือน ปีนี้ มีจำนวน 293 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 61,980 ล้านบาท โดยเป็นโครงการลงทุนใหม่ 182 โครงการเงินลงทุนรวม 42,452 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 68 ของเงินลงทุนทั้งสิ้น และเป็นโครงการขยายจากกิจการเดิมที่ได้ลงทุนแล้ว 111 โครงการเงินลงทุน 19,528 ล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32 ของเงินลงทุนทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า ร้อยละ 55 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนเป็นกิจการที่อยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S Curve) จำนวน 76 โครงการ เงินลงทุนรวม 7,800 ล้านบาท เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม (First S Curve) จำนวน 142 โครงการ เงินลงทุนรวม 34,300 ล้านบาท
ในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ บีโอไอจะติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด โดยมั่นใจว่าหลังจากนักลงทุนได้ทราบรายละเอียดและความชัดเจนของการส่งเสริมการลงทุนตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฉบับแก้ไขใหม่และพ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะมีการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น จะทำให้การขอรับส่งเสริมการลงทุนจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วง ไตรมาส 2 ของปีนี้
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 บีโอไอได้พบปะหารือกับคณะนักลงทุนจากต่างประเทศที่แสดงความสนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวม 12 คณะ จาก 8 ประเทศ (ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ อินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ บราซิล เนปาล) รวมจำนวนนักลงทุน 124 ราย โดยมีความสนใจจะลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร รถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนกิจการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก แม่พิมพ์ ยา เหล็ก ซอฟต์แวร์ และสนใจการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
ในเดือนพฤษภาคมนี้ สำนักงานบีโอไอในต่างประเทศ จะนำคณะนักธุรกิจนักลงทุนเดินทางมาร่วมดูลู่ทางการลงทุน และเยี่ยมชมพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี และร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจภายในงาน ซับคอนไทยแลนด์ 2017 รวมจำนวนกว่า 12 คณะ จำนวนรวมประมาณ 400 ราย อาทิ จากประเทศญี่ปุ่น จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ อินเดีย เป็นต้น
นอกจากนี้ ระหว่างเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2560 บีโอไอยังมีกิจกรรมเดินสายชักจูงการลงทุนในประเทศเป้าหมายรวมอีก 21 ครั้ง อาทิ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศในยุโรป และออสเตรเลีย
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย